Tuesday, July 31, 2012
Monday, July 30, 2012
Sunday, July 29, 2012
HanHan ตี๋มหากาฬใน Time 100 most influential people
Rating: | ★★ |
Category: | Other |
แต่ผมจะรู้สึกงั้นๆ เมื่อเจอกับหานหาน ไม่รู้ดิ ดูกลวงๆ เก่งธุรกิจจริงๆมันตอบสนองความต้องการชั้นล่างของมนุษย์เลย ยกเว้นจะรู้จักมองอะไรทะลุไปลงไป
แล้วทำไมต้องมีแต่สาหร่ายแบบทอดก็ไม่รู้ ไขมันจุกคอตาย 5555
=========================================
แปลกว่าทำไมไม่มีคนเขียนถึงหานหาน หาอ่านภาษาไทยไม่เจอ หรือผมตาถั่วเอง
จริงๆสื่อน่าจะเขียนนะเนี่ย ผมเห็นความเห็นของเขาเรื่องการเมือง วัฒนธรรม หรืออื่นๆเป็นที่น่าสนใจ ผมเขียนก่อนละกัน
ตี๋คนไหนเขียนอะไรแล้วมีผู้คลิ๊กเข้าไปอ่านมากกว่า๕๐๐ล้าน ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นนักเขียนที่ทรงอิทธิพลอย่างสูงต่อคนจีน
หากชาวจีนพันล้านคนกระโดดพร้อมกันแกนโลกอาจจะเอียงได้ คำกล่าวอุปมาอุปมัยในหนังสือ When A Billion Chinese Jump ของ Jonathan Watts มีคำถามต่อไปว่า แล้วใครล่ะที่จะทำให้คนจีนพันล้านคนกระโดดพร้อมกันได้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็น นายกฯ เวินเจียเป่า แต่อาจเป็นหนุ่มบล๊อคเกอร์เจนเนอเรชั่น ๘๐ อายุประมาณ ๓๐ ปีที่ชื่อ หานหาน (韓寒) คนนี้
เมื่อปี ๒๐๑๐ นิตยสาร Time ตีพิมพ์ ๑๐๐ บุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลก หานหานอยู่อันดับเทียบได้กับโอบาม่าเลยทีเดียว และก็เป็นอันดับสูงที่สุดของจีน ทั้ง CNN ทั้ง NHK ต่างก็วิ่งตามเพื่อขอสัมภาษณ์ สื่อไทยชอบสัมภาษณ์แต่ตู่กับเต้ง จนถึงวันนี้มีคนเข้าไปอ่านบล๊อกของหานหานแล้วกว่า ๕๖๐ล้านคน มากกว่าประชากรไทยอีก เริ่มตั้งแต่อายุ ๑๘ เขาก็เขียนเรื่องสั้นเสียดสีระบบการศึกษาที่แข็งกร้าวของจีนเรื่อง 三重門 (Three Layers of Doors) ถึงวันนี้ขายไปแล้ว ๒ ล้านกว่าฉบับ เป็นหนังสือขายดีติดอันดับสูงสุดของจีนในช่วง ๒๐ ปี (คงมีก๊อปปี้ด้วยอีกบาน) ๑๓ ปีที่ผ่านมาเขามีงานเขียนออกมาเกือบ ๒๐ เล่ม แต่ละเล่มล้วนขายดีติดอันดับ เท่านั้นไม่พอหานหานยังเป็นนักแข่งรถมือดีอีกต่างหาก เคยได้ถ้วย BMW Asian Cup มาครอบครอง (ชื่อรางวัลจริงๆชื่ออะไรไม่รู้ ผมขี้เกียจหา)
การเมือง
วันที่ ๘ มิ.ย. ๒๐๑๐ Liu Xiao Bo(劉曉波) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ชื่อของเขาสามคำนี้ไม่ว่าที่ไหนโดนทางการจีนปิดกั้นไว้หมด พิมพ์ค้นหาข่าวสารที่เกี่ยวข้องให้ตายก็ไม่เจอ ในไทยผมเห็นความเห็นในเว็บ ผจก.จะออกไปทางด่าฝรั่งเสียเยอะว่าบ่อนทำลายจีน ผมก็เห็นด้วยนิดๆ คือทุกคนนั่งอยู่เมืองไทยวิจารณ์น่ะ แต่เสียงของประชาชนจีนเป็นเช่นไร?? หลังจากการประกาศรางวัลในวันนั้น หานหานโพสท์บทความหนึ่งใช้ชื่อ “๘ มิ.ย. ๒๐๑๐” แล้วเขียนเนื้อหาอันชาญฉลาดด้วยว่างเปล่า มีแต่เครื่องหมายอัญประกาศ “ “ เท่านั้นอยู่ในเนื้อความ คุณเอย..แค่นาทีแรกๆก็มีคนเข้าไปแสดงความเห็นเป็นหมื่น เห็นได้ว่าเมื่อถูกปิดกั้นมากๆแรงต้านก็เพิ่มพูนเป็นธรรมดา
หานหานได้มีโอกาศเดินทางไปเกาะไต้หวันเมื่อเดือน พค. หลังจากกลับไปเมืองจีนก็โพสท์บทความชื่อ “สายลมแห่งแปซิฟิค” (太平洋的風) กล่าวถึงเรื่องราวที่เขาทำโทรศัพท์ตกไว้ในแท็กซี่ แต่คนขับก็นำไปคืนถึงเขาถึงโรงแรม เขาเขียนชมว่าวัฒนธรรมจีนอันดีงามถูกปกปักรักษาไว้ที่ไต้หวัน มีผู้อ่านบทความจำนวนมหาศาล Yahoo Collage China ทันทีถึงกับต้องเปิดคลาสที่มีชื่อว่า “ไต้หวันอนุรักษ์รากเง่าประเพณีของจีนไว้ได้อย่างไร” (ไต้หวันมีต้นทุนด้านนี้อยู่เยอะ ข้อบ่งชี้พื้นฐานเช่นทั่วๆไปในที่สาธารณะมีคนลุกให้คนแก่ คนพิการนั่ง มีพูดขอบคุณ รู้จักเข้าแถว ซื้อของไม่ต้องกลัวถูกฟันราคา ฯลฯ) ปธน. ม่าอิงจิ่วของไต้หวันก็ยังเอาเรื่องของเขาไปใช้ในสุนทรพจน์ หานหานบอกว่าผู้คนตามท้องถนนในไต้หวันล้วนมีความสุภาพ เจี่ยงเจี้ยสือ (เจียงไคเช็ค) ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการยังไง แต่เรื่องการวางพื้นฐานการศึกษาประเพณีอันดีงามนั้นมิได้ขาดตกบกพร่อง
ความเห็นต่างๆของหานหานไม่จำเป็นที่จะทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน แต่ทำให้จิตใจสั่นไหวแน่นอน อาจไม่ทำให้แกนโลกย้ายตำแหน่ง แต่ก็ทำให้แกนความคิดขยับเขยื้อนได้ กระแสหานหานมาแรงจนพิธีกรชื่อดังโจวลี่โปยังพูดตลกๆว่า “แม้กระทั่งคนเกาหลียังจะพยายามตีตราให้หานหานเป็นคนเกาหลี” (ผมไปค้นๆมามีหนังเกาหลีชื่อหานหาน เขียนตัวอักษรเหมือนกัน และชื่อประเทศเกาหลีก็ใช้ตัวอักษรหัน韓เหมือนกันอีกด้วย...งงดี)
นิตยสาร Time ให้ฉายาเขาไว้ว่าเป็นบล๊อคเกอร์ที่ได้รับการต้อนรับมากที่สุดในโลก แต่ก็มีผู้วิจารณ์ว่าเพราะแค่อ่านง่ายและคนช่วยกันแห่เข้าไปดูตามๆกัน นักประพันธ์อาเฉิง (阿成) กล่าวว่าเขาชอบอ่านบล๊อกของหานหาน สไตล์การเขียนเป็นการวิพากษ์ด้วยสามัญสำนึกคล้ายๆกับงานเขียนของ ลู่ซุ่น (魯迅, LuXun นักเขียนสมัยช่วงประธานเหมาฯ http://en.wikipedia.org/wiki/Lu_Xun) นักเขียนฮ่องกง เหลียงเหวินต้าว (梁文道) บอกว่าจากอันดับผู้ทรงอิทธิพลใน Time และจากเสียงต้อนรับของประชาชน หานหานอาจจะเป็นลู่ซุ่นคนต่อไปก็ได้ เพราะลมหายใจของเขาเป็นสิ่งเดียวกับประชาชน อื่นๆก็มีวิจารณ์ว่าเขาเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะ social network และเป็นฮีโร่ที่เทรนด์ของยุคสมัยนี้มันพาไป ทำให้เกิดขึ้นมาเอง แต่ก็มีคำถามต่อไปว่าทำไมฮีโร่ไม่ใช่คนอื่นจากบันดาชาวเน็ทเป็นร้อยล้านล่ะ หานหานบอกว่าเขาก็เห็นคนอื่นเขียนเหมือนกัน คนเขียนวิจารณ์รัฐบาลหรือความไม่ยุติธรรมในสังคมมีมากมาย แต่สงสัยบทความของเขาอ่านดีมั๊งคนเลยนิยม เขาบอกว่าตั้งแต่เล็กๆเขาชอบอ่านผลงานของนักเขียนยุคแรกหลังจีนปลดปล่อย เช่นหนังสือของเฉียนจง (錢鍾) นับเป็นแบบอย่างที่เขาเจริญรอยตาม เพราะสิ่งที่เฉียนจงเขียนมักจะให้ความสนใจต่อสังคม หากตอนเด็กๆเขาชอบอ่าน ChiungYao (瓊瑤 นักเขียนไต้หวัน) จินยง (金庸 ,กิมย้ง, นักเขียนนิยายกำลังภายในของจีน) หรือ เหลียวยง (劉墉,จิตกรและนักประพันธ์ไต้หวัน) สไตล์การเขียนของเขาก็อาจแตกต่างออกไป แล้วทำไมประสบความสำเร็จ ตอบแบบง่ายๆก็คือเขาคาดหวังว่าเขียนอะไรออกมาแล้วมันต้องดีมีคุณภาพ ส่งเข้าประกวดต้องได้รางวัล เขียนเสร็จแล้วต้องมีคนอ่าน ความงดงามของหนังสือ, มุกตลก เป็นสิ่งสำคัญ การวิพากษ์ที่เฉียบคมและอ่านง่าย ปรกติเขาเป็นคนเฮฮาอยู่แล้ว อารมณ์ขันถูกใช้ที่จริงก็เพื่อให้ผู่อ่านอ่านจนจบ เขาบอกว่าต้องขอบคุณนักเขียนเรื่องสั้นไต้หวัน เหลียงสือชิว梁實秋 ที่เขาได้รับอิทธิพลการเขียนแบบมีอารมณ์ขันมาไม่น้อย
นอกจากนั้นก็ยังมีกระแสสงสัยว่าหานหานถูกปั้นขึ้นมา นักเขียน 麥田 สงสัยว่ามีกลุ่มบุคคลช่วยกันเขียนบทความ หนังสือขายดีเล่มแรก三重門 ก็มีพ่อช่วยเชียน หานหานก็เลยตอบโต้ด้วยการประกาศให้รางวัลยี่สิบล้านถ้าจับการปลอมแปลงได้ เขาโต้ว่า “ในยุคโซเขียลเน็ทเวิร์กอะไรก็ซ่อนไม่มิด ถ้ามีคนช่วยผมเขียนแล้วถ้าเขาออกมาแสดงตัว เขาก็ก้าวข้ามผมไปได้แน่นอน ผมก็กลายเป็นตัวทุเรศไป แต่ทำไมไม่มีคนคนนี้ล่ะ” (จริงๆเขายกตัวอย่างว่าสไตล์การเขียนมันปลอมกันไม่ได้ แต่ผมไม่ขอแปล) เรื่องที่ทำให้เขาเจ็บปวดกลับไม่ใช่เรื่องนี้แต่เป็นเรื่องไปเจอคนในลิฟท์คุยกันสองประโยค นายนั่นบอกว่าเขาดูเรียบร้อย ไม่ทิ่มแทงเหมือนในบทความ ต้องมีคนอื่นช่วยเขียนแน่ๆ หานหานบอกว่าเขาใจดีกับคนอื่น แต่ถ้าเจอนายคนนั้นอีกทีทุบซักหมัดจะเอามั๊ยจะได้รู้
คมๆแบบนี้ทางการจีนจับตาอยู่แน่นอน งานเขียนของเขาทุกๆ ๔ บทความ จะมีถูกห้ามเสีย ๑ บทความ แต่ยิ่งห้ามยิ่งมีคนอยากอ่าน คนอ่านยิ่งชอบ นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นที่แพร่หลาย นอกจากมีคนสงสัยว่าเขาเป็นคนเขียนตัวปลอมแล้วก็ยังมีคนสงสัยแรงจูงใจ เขาบอกว่าเขียนบทความเดี๋ยวนี้มีข้อจำกัดมากมาย ถ้าเขาไม่วิจารณ์เรื่องใดๆสักเรื่องก็จะมีคนบอกว่าเขาสมองฝ่อ แต่พอเขาเอ่ยปากก็จะมีพวกบอกว่าเขาเอาการเมืองมาขายกินเพื่อต้องการดึงดูดความสนใจ ตอนเขาวิพากษ์รัฐบาลก็จะมีพวกบอกว่าเขารับเงินอเมริกันหรือไต้หวัน แต่พอเขาไม่ทำ คิดว่ารัฐบาลไหนๆก็ไม่มีดีหมดหรือร้ายหมด ๑๐๐% หรือที่เขียนบทความหลายๆชิ้นช่วยพูดแทนรัฐบาลสักหน่อยก็จะมีคนบอกว่ารัฐบาลจ้างมา คนจีนชอบคิดว่าจะทำอะไรต้องได้เงิน ไม่ได้เงินทำไมต้องไปทำอะไรมากมาย เขากล่าวว่าคนจีนส่วนมากมักจะไม่คิดว่าคนเราสามารถทำอะไรด้วยอุดมคติ ความสนใจหรือความเชื่อ มันน่าเศร้า
“ผมไม่ขาดเงิน”
แล้วจริงๆมีบริษัทหรือนายทุนมาเสนอเงินให้เขียนอะไรหรือเปล่า?? “มี” มีมาคุยด้วย อักษรหนึ่งตัวให้ราคา ๑๐๐๐๐RMB จะเขียนบทความชิ้นหนึ่งต้องเขียนประมาณ ๕๐๐ อักษร รวมเป็นเงิน ๕๐๐๐๐๐๐RMB (ยี่สิบสามล้านบาท approx.) เขียนทีหนึ่งครึ่งชั่วโมงได้เงินมากกว่าหลายๆคนทำงานทั้งปี แล้วทำไมไม่ทำ หานหานบอกว่าถ้าใครก็ตามสามารถถูกซื้อด้วยเงิน เขาคนนั้นไม่สามารถเขียนอะไรที่ทุกๆคนชอบอ่านได้หรอก (เอ่อ..จริง หนังสือพวกทำยังไงให้รวยล้นตลาด) เขารู้สึกว่าลักษณะของงานเขียนกับบุคคลิกของคนเขียนมันผ่านทะลุถึงกัน ถ้าคุณเป็นคนประเภทเห็นเงินแล้วตาลุกวาวรับรองในงานเขียนมันปิดไม่มิด เขาก็ไม่ใช่จะปัญญาอ่อน การรับเงินใช่ว่าจะเป็นการฉลาด หนังสือแต่ละเล่มก็ขายดีอยู่แล้ว สรุปแล้วเขาว่า “ผมไม่ขาดเงิน” แล้วรัฐบาลไม่พยายามมาติดต่อบ้างเหรอ?? หานหานคอตก (ไม่รู้หูตูบด้วยหรือเปล่า) มองไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะแล้วพูดว่า “ผมเชื่อว่าโทรศัพท์ของผมถูกดักฟังตลอดเวลา” รัฐบาลฟังบทสนทนา เข้าใจว่าผมคืออะไรก็ควรจะเข้าใจว่าผมไม่ใช่คนที่จะมาซื้อขายได้
ที่จริงสิ่งที่มีอิทธิพลต่อเขามากตอนนี้กลับไม่ใช่รัฐบาลหรือนายทุน แต่กลับเป็นชาวเน็ทผู้อ่านทั้งหลาย บทความของเขาส่งเสริมอิสรภาพ แต่กลับทำให้ตนเองขาดอิสรภาพ “ รัฐบาลสร้างกฏเกณฑ์และความกดดันให้กับผม แต่อย่างมากก็ทำได้แค่ลบบทความผมทิ้ง ถ้าเปรียบกับปัญญาชนท่านอื่นๆที่ถูกทางการคุกคามทำร้าย ความยากลำบากของผมมันก็แค่ขี้ผง แต่ข่าวโคมลอยจากคนอื่นต่างหากที่มักทำให้ผมรู้สึกหดหู่”
วัยรุ่นจีนกับความสับสน
ถ้าพูดแทนประเทศที่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจอย่างอัศจรรย์ หานหานกลับเห็นว่าอนาคตของวัยรุ่นจีนมืดมน มองถึงเบื้องหลังความสำเร็จของตัวเลข GDP ล้วนเต็มไปด้วยความเฉยชาหมดหวังของผู้คน จีนมีประชากรวัยรุ่นมหาศาลที่ต้องจากบ้านไปทำงานไกลโพ้นมากกว่าประเทศอื่นๆ ต้องไปยืนบนขาของตัวเองให้ได้ในต่างเมือง ข้างเคียงไม่มีญาติสนิทมิตรสหาย ค่าครองชีพก็สูงค่าแรงก็ต่ำ ล้วนทำให้เกิดความสิ้นหวัง เขาเองเคยเขียนวิพากษ์ค่าแรงที่ต่ำหรือเขียนพรรณาวัยรุ่นที่กระโดดตึกตายไว้ว่า ” 本該在心中的熱血, 它塗在地上” "เลือดอุ่นๆที่ควรจะอยู่ในหัวใจ กลับกลายกระจายอยู่บนแผ่นพื้น" นักเขียน Ye Mei Yao บอกว่าเห็นประโยคนี้แล้วน้ำตาไหล หานหานบอกว่าอย่าเอาวัยรุ่นออฟฟิศในซั่งไห่ เป่ยจิง มาประเมินอานาคตของวัยรุ่นที่เหลือ พวกนี้ก็แค่เสียงดัง แต่คนที่อยู่ชั้นล่างจริงๆนั้นไม่มีเวลาและไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเปล่งเสียง หรือบอกต่อว่าวัยรุ่นประเทศอื่นที่บ่นไม่พอใจว่าลองมาอยู่ในจีนสักสองปีก็จะรู้ดี
“จีนจะต้องเดินตามแนวประชาธิปไตย เพียงแต่กระแสต้านจะมีมาก”
หานหานบอกว่า จีนใช้เวลาหลายสิบปีใน struggle session (鬥爭, คือการเอาศัตรูของชนชั้นเช่นคนรวย ปัญญาชน ฯลฯ มาแห่แหนประนามให้อับอายโดยท่านเหมาฯ มีที่โดนประชาชนอารมณ์คึกเอาหินขว้างตายไปซ๊ะเยอะ , http://en.wikipedia.org/wiki/Struggle_session ) และยังใช้เวลาอีก ๓๐ ปีสอนให้คนละโมบ ผ่านเลยมาตั้ง ๖๐ ปีก็ยิ่งทำให้ผู้คนยิ่งโหดร้าย ยิ่งโลภมาก สภาพแบบนี้การเดินหน้าประชาธิปไตยย่อมต้องเจอกับแนวต้าน ประชาธิปไตยต้องผ่านกระบวนการประนีประนอม แต่ในเมืองจีนอาจกลายเป็นเรื่องตาต่อตาฟันต่อฟันไป จีนเป็นประเทศใหญ่ แต่ละหมู่เหล่ามีประชากรนับร้อยล้าน ถ้าเอื้อประโยชน์กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ก็อาจไปละเมิดกลุ่มอื่นอีกหลายร้อยล้าน ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา สุดท้ายแล้วประชาชนอาจรู้สึกรำคาญก็เลยอาจจะบอกว่าฟังเสียงเผด็จการจากผู้ปกครองละกัน หานหานบอกว่าจีนใช้เงินจัดเวิร์ดเอ็กซ์โปจัดโอลิมปิคไปมหาศาล ชาวจีนล้วนรู้สึกดี รู้สึกมีหน้ามีตา ถ้าจีนเป็นประชาธิปไตยรับรองทำไม่ได้ แล้วสุดท้ายชาวจีนจะว่ายังไง นอกจากนั้นคนจีนรุ่นใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม ไม่ได้โกรธเคืองเดือดดาน จีนในอีก ๑๐ปี ๒๐ปีข้างหน้า ประชาชนจะคิดอย่างไรกับเรื่องสิทธิก็ไม่สามารถจะคาดเดา แต่จะต้องเป็นประชาธิปไตยแน่ๆ เพียงแต่เป็นประชาธิปไตยแบบไหนต่างหากที่เป็นปัญหา
ปล. เคยมีเพื่อนของหานหานแนะนำให้เขาไปซื้อคอนโดฯ แต่เขากลับเอาเงินไปซื้อล้อรถแข่ง
ตอนหลังตึกหลังนั้นราคาเพิ่มขึ้นร้อยเท่า มีคนถามว่าเขาเสียใจหรือเปล่า เขายิ้มๆแล้วตอบว่าถ้าวันนั้นเขาซื้อ
เขาก็อาจจะไม่ใช่นักเขียนในวันนี้ อาจจะไปเป็นนักซื้อขายอสัมหาฯ เขาเลือกทางเดินของเขาเอง
จบครับ!!
Sumi Jo For My Father - 2006 Paris ยูทูปนี่ประเสริฐจริงๆ
Rating: | ★★★★ |
Category: | Music |
Genre: | Classical |
Artist: | Sumi Jo |
Saturday, July 28, 2012
Friday, July 27, 2012
Thursday, July 26, 2012
Wednesday, July 25, 2012
Tuesday, July 24, 2012
Monday, July 23, 2012
แต่เพียงผู้เดียว หลงไปดู.... ชอบ
Rating: | ★★★ |
Category: | Movies |
Genre: | Drama |
แต่ก็ลองถามดูว่ามีที่ว่างหรือเปล่า ปรากฏว่าเต็ม
อีกสองวันถัดมาก็เต็มอีก ผมเลยชักสงสัย หนังไทยมีด้วยเหรอขายบัตรหมด
ครั้งที่สามถัดมาอีกวันผมถึงได้ดู ได้นั่งเก้าอี้เสริม
ไม่รู้เรื่องมาก่อนว่าหนังอะไรของใคร กลัวเป็นหนังเกย์อย่างเดียว
พอดูแล้ว ไม่ธรรมดาเลย ฉายที่ลิโด้ กับเมเจอร์กับ Esplanade รัชดา
ผมว่าหนังจบมีชื่อนักแสดงและทีมงานขึ้นแล้วคนดูไม่เดินออกนี่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จนะ
หนังมันทิ้งอะไรไว้ให้คนดู ไม่ใช้ดูแล้วจบแล้วจบเลย สนุกแต่ไม่ได้อะไร
กำกับภาพยนตร์ คงเดช จาตุรันต์รัศมี
ผมชอบตั้งแต่ได้ยิน Debussy แล้ว ที่ให้ความรู้สึกลอยๆภวังค์
หนังเป็นเรื่องของ เล็ก ช่างทำกุญแจ ชีวิตเหมือนจะไม่มีอะไร ไม่เคยมีรัก
วันๆก็ก๊อปปี้กุญแจเป็นหลัก กับ ก้อง คนขายหนังสือที่มีความหลังชีวิตรักที่แตกแยกสมัยเรียนหนังสือ ปรารถนาจะหา
วัตถุดิบหาประสบการณ์ในชีวิตเพื่อการเป็นนักเขียน เมื่อทราบว่าเล็กสามารถเปิดกุญแจอะไรก็ได้
เขาจึงชักชวนกันเปิดเข้าไปในห้องคนอื่นเพื่อดูเพื่อรู้ชีวิตของผู้อื่น จนมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
แล้ววันหนึ่งก้องก็หายไป เล็กจึงตัดสินใจ
เข้าไปดูในห้องของก้อง และพบกับความทรงจำต่างๆที่หนังเอามาเล่าสลับไปมา
จนดูๆไปจะเริ่มลอยเลือนอะไรคือจินตนาการอะไรคือสิ่งที่เอาชีวิตของคนอื่นมาสวมใส่ อะไรคือของจริง
คีย์หลักๆคือองค์ประกอบของตัวเราล้วนแต่ขโมยมาจากผู้อื่น จากสิ่งแวดล้อมที่ประสบ เพลงที่ฟัง
หรือประสบการณ์อันเลวร้าย แล้วก็ก๊อปปี้เอามาเป็นตัวเรา แม้กระทั่งจินตนาการหรือความทรงจำก็ถูกเขียนถูกลบ
ถูกเปลี่ยนแปลงโดยหัวใจที่บิดเบือน สุดท้ายเหลืออะไรที่เป็นแต่เพียงผู้เดียว
(คือฟังชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ My Only Own จะเข้าใจได้ตรงกว่า)
Director Statement แรงบันดาลใจผู้กำกับ
หากแม้แต่ภาพในจินตนาการที่ชัดเจนยังสามารถแปลงร่างกลายเป็นความทรงจำ สิ่งที่คิดขึ้นมาเองด้วยความทึกทักยังกลายเป็นความเชื่อและสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอาจจะถูกบันทึกไว้ – ถูกลบให้สูญหาย - และถูกเขียนขึ้นใหม่อย่างบิดเบือน ทั้งจากฝีมืออันชำนิชำนาญและความยอกย้อนของหัวใจ ทั้งจากผู้อื่น และแม้กระทั่งตัวเราเอง
หากชีวิตคือการหยิบยืมเรื่องราวจากผู้อื่นมาต่อยอดชีวิตเราออกไป นำมาทำสำเนา หรือดัดแปลงจนเป็นของเรา และสุดท้ายก็ส่งต่อกันไปผ่านมือกันครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วจะหลงเหลือสิ่งใดที่เป็นของเรา.......... แต่เพียงผู้เดียว
คงเดช จาตุรัตน์รัศมี
30 มีนาคม 2554
ref: http://movie.kapook.com/view30829.html
http://www.thaicinema.org/kits318taetherphoodiao.asp
จริงๆผมไม่ใช่นักดูหนังเลย ยังงงอยู่ว่าทำไมเขียนแต่เรื่องหนัง
Sunday, July 22, 2012
Saturday, July 21, 2012
Karl Popper "…frameworks, like languages, may be barriers. They may even be prisons. But a strange conceptual framework, just like a foreign language, is no absolute barrier: we can break into it, just as we can break out of our own framework, our own prison. And just as breaking through a language barrier is difficult but very much worth our while, and likely to repay our efforts not only by widening our intellectual horizon but also by offering us much enjoyment, so it is with breaking through the barrier of a framework. A breakthrough of this kind is a discovery for us. It has often led to a breakthrough in science, and it may do so again." - จาก essay “The Myth of the Framework” ของ Karl Popper
Friday, July 20, 2012
Wednesday, July 18, 2012
Tuesday, July 17, 2012
Monday, July 16, 2012
Sunday, July 15, 2012
Saturday, July 14, 2012
Friday, July 13, 2012
Thursday, July 12, 2012
Wednesday, July 11, 2012
Tuesday, July 10, 2012
Monday, July 9, 2012
Sunday, July 8, 2012
Saturday, July 7, 2012
ฟัง Huong Thanh เยือนเมือง An Chau คิดถึง Heaven & Earth
Rating: | |
Category: | Music |
Genre: | Folk |
Artist: | Huong Than, Nguyen Le, Jason Carter |
ฟุ้งซ่านไปหรือเปล่าเนี่ย เป็นภาพเก่า คิดว่าเคยโพสท์ไปแล้ว (มั๊ง)
ผมรื้ออัลบั้มเพลงเวียตนามมาฟัง หนึ่งในจำนวนที่ชอบ ก็คือ Huong Thanh ที่เป็นเวียตนามฝรั่งเศส
เช่นเดียวกับ Nguyen Le ที่เป็นนักกีตาร์แจ๊ซระดับอินเตอร์ (หาไทยไม่เจอ) แถมสองคนนี้ยังได้ทำงานร่วมกันอีกด้วย
Nguyen Le เป็นนักกีตาร์ที่สำเนียงเวียตนามมาก ฟังออกทันทีว่าเหมือนเครื่องดนตรีสายเดียว dan bau ของเวียตนาม
ที่ผมลงทุนซื้อแล้วแบกกลับมาเมืองไทยเพราะติดใจเสียง หน้าตาแบบรูปข้างล่างนี้ วิธีเล่นคือเล่นแบบฮาร์โมนิค
แล้วก็ดึงคันโยกเพื่อให้ได้โน๊ตตัวต่างๆออกมา
นอกจากเหงียนเลอแล้ว Huong Thanh นั้นโชดีที่ได้ร่วมงานกับนักกีตาร์เก่งๆอีกคนหนึ่งด้วยก็คือ Jason Carter ลองหยิบหูฟังมาเสียบฟังเพลินๆสี่ห้าเพลงครับ คลิ๊ปอยู่ข้างล่างตรงท้าย
ผมฟังแล้วเอาภาพเดือนเมษาในเวียตนามมาให้ดูดีกว่า ได้บรรยากาศดี ทริ๊ปที่ผมเรื่อยเปื่อยไปแบบไม่มีแผนที่
ไม่รู้ทาง พูดภาษามั่วๆได้นิดหน่อย ใช้เข็มทิศกับจำทางเอา
กะไปดูความไม่มีอะไรมากกว่าไปดูอะไร
ตามทางมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อ An Chau เพิ่งหาข้อมูลเมื่อกี้นี้ว่าเป็นหมู่บ้านคอมมูนในเขต Son Dong
จังหวัด Bac Giang หาอยู่นาน ขนาดเว็ปเวียตนามยังไม่ค่อยมีรายละเอียดเลย
เริ่มกันตั้งแต่ข้ามเขาระหว่างทางครับ
ต้องหยุดถ่ายหน่อย เพราะรถคลาสสิค ใครชอบสะสมมอร์เตอร์ไซค์รัสเซียพอจะหาซื้อในเวียตนามได้
หมอกลงทั้งวัน เล่นเอาหนาวกลางเดือนเมษา
กลั้นหายใจ ท่องนะโม แล้วก็กดชัตเตอร์
มีมาอีกคันพอให้อุ่นใจ ที่เสียวก็คือไม่รู้ว่าปั๊มน้ำมันอยู่ตรงไหนครับ
ใกล้ถึง
เห็นเมืองแล้ว
ถ้าไปช้ากว่านี้สักนิดข้าวออกคงจะสวยเชียว
เจออาหารเย็นแล้ว หวานแน่ๆ
สองสาว
แวะเข้าไปดูสาวเสื้อแดงในตลาด เวลาไปซื้อของตามตลาดแบบนี้ ผมว่าชาวกรุงอย่าไปต่อราคาเลยครับ
ทำแทบตายกว่าจะได้ ขายก็แสนถูก
ไปซ๊ะแล้ว
ภาพแบบนี้เห็นได้ทั่วไปในเวียตนาม ชาวเวียตนามแต่งกายคล้ายทหาร คล้ายๆจีนช่วงหนึ่งที่แต่งเหมือนกันทั้งประเทศ
ตลาดสด เพราะไม่มีตลาดไม่สด
นี่ก็สด
เห็นคนเวียตนามทำนา เห็นวิวดีๆ อดคิดถึง Heaven & Earth หนึ่งในหนังสงครามไตรภาค Platoon, Born
On The 4th of July ของ Oliver Stone ไม่ได้ หนังสร้างจากเรื่องจริงของหญิงเวียตนามในหมู่บ้านเล็กๆ
ที่สวยงาม อยู่ดีมีสุขกับการทำไร่ทำนา จู่ๆวันหนึ่งก็มีฝรั่งเศสเข้ามา ก็ต้องสู้รบ แล้วก็มีอเมริกันเข้ามา
ก็ต้องสู้รบอีก แล้วก็มีเวียตกงเข้ามาที่หมู่บ้านมาสอนให้สู้ขับไล่อเมริกัน เลยโดนอเมริกันจับไปทรมานแบบเลวสุดเพื่อเค้นความลับ
(ผมดูถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าคนอเมริกันจะด่า Oliver Stone หรือว่าชมกันแน่)
พอติดสินบนถูกปล่อยตัวออกมาได้ เธอก็ต้องโดนเวียตกง
ทำปู้ยี่ปู้ยำอีกเพราะคิดว่าเป็นสายให้อเมริกัน จนกระทั่งเวียตนามแตกและต้องหนีไปอยู่อเมริกา
สรุปแล้วโดนกระทำจากทุกฝ่ายเลย ทำนาอยู่ดีๆแท้ๆ
หนังมันแปล่งๆบ้าง เสนอแบบมุมมองฝรั่ง แถมตัวแสดงยังพูดอังกฤษอีก เหมือนเรื่องเกอิชาเลย ดูขัดๆ
แต่ฝรั่งมาดูแล้วคงตะลึงตื่นเต้นครับ และก็ทำให้เราเห็นผลเสียของสงครามได้อย่างชัดเจน
ปล. เรื่อง Heaven & Earth นี่ Kitaro ทำดนตรีประกอบครับ