Thursday, May 3, 2012

ไล่ตงจิ้น ลูกขอทาน ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต

Rating:★★★★
Category:Books
Genre: Biographies & Memoirs
Author:賴東進



ผมเพิ่งบังเอิญไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนแปลเป็นภาษาไทย เป็นหนังสือประวัติของ Lai Dong Jin (ล่าย ตง จิ้น, 賴東進) เป็นหนังสือขายได้เกิน ล้านเล่ม ล่ายตงจิ้นได้รับรางวัลบุคคลดีเด่น และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ได้รางวัลจาก ปธน. หูจิ่นเทา ด้วย

Recently, hit 1 million sales miracle, and sales in Japan, Singapore and the overwhelming majority of the Southeast Asian region "Qigaijianzai" in access to Taiwan and Africa sales of the first literary books at the same time, also won the "National Book Award" before the top three and "China's first prize for outstanding young readings," the title. Famous writers Mo Yan once said: "Qigaijianzai" is one worth reading good books. Have the honor and from the community spoke highly of the result, the listing of the "Qigaijianzai" comic form is booming.

จริงๆมันออกมาหลายปีแล้วเหมือนกัน ผมลองเปิดๆดูในเน็ทก็มีคนอ่านคนชมเยอะอยู่พอสมควร ผมไม่ได้ซื้อ ไม่ใช่หนังสือไม่ดีหรือไม่คุ้ม แต่เนื่องจากผมอ่านฟรีที่ร้าน (สารภาพ) อ่านรวดเดียวจบเลย เป็นหนังสือเล่มไม่หนามาก 248 หน้า ราคา 165 บาท อ่านสักสามชั่วโมงก็จบ ก็เลยเก็บตังค์ไว้ซื้อเล่มอื่น

Lai Dong Jin เป็นหนังสือค่อนข้างหนักเกี่ยวกับชีวิตขอทาน เรียกได้ว่าแต่ละบทระเบิดต่อมน้ำตาเอาง่ายๆ บางคนพ่อเสียแม่เสีย ถูกทิ้ง หรืออื่นๆ มันก็แย่อยู่ แต่มันอาจจะคนละอย่างกับล่ายตงจิ้น เพราะที่เหลือไว้ก็คือต้องรับผิดชอบตัวเองเท่านั้น แต่สำหรับ Lai Dong Jin เขาเผชิญกับสภาพกดดันเป็นเวลายาวนานและมีชีวิตอีก 14 ชีวิตแขวนอยู่กับความรับผิดชอบของเขาด้วย เคยคิดจะฆ่าตัวตาย หรือถึงขนาดไปซื้อยาฆ่าแมลงมาเตรียมไว้แล้วเพื่อจะปลิดชีวิตของทุกคนในครอบครัวเพื่อที่จะได้พ้นทุกข์ทรมาร แต่ก็คิดได้เสียก่อน ที่น่าทึ่งคือพอผ่านมาแล้วเขาไม่เคยโทษใครและไม่เคยเอาสิ่งไม่ดีต่างๆมาดึงตัวเองลงต่ำเลย

ล่ายตงจิ้นเป็นลูกของขอทานตาบอด เกิดในวัดร้าง มีชีวิตเร่รอนขอทานมาตั้งแต่เกิดและต้องขอทานอยู่ถึงเกือบยี่สิบปี มีแม่เป็นคนปัญญาอ่อน มีโรคประจำตัวคือลมบ้าหมูและมีจิตใจไม่ปรกติคือคุ้มดีคุ้มร้าย น้องชายคนโตก็พิการทางสมองเช่นเดียวกับแม่ สองคนนี้จึงต้องถูกล่ามโซ่ไว้เสมอๆไม่งั้นอาจหายหรือไปก่อเรื่อง ทั้งครอบครัวเวลาไปไหนมาไหนก็จะเป็นสิ่งประหลาดสำหรับผู้พบเห็น เขายังมีพี่สาวที่เสียสละมากๆซึ่งสมควรได้รับการยกย่องพอๆกับตัวเขาเองอีกคนหนึ่ง

ตั้งแต่เด็กเขามีชีวิตอดมื้อกินมื้อ ต้องเดินขอทาน 10-20กม.ทุกวัน บางทีถึงกับต้องแย่งข้าวหมาที่ตกอยู่ตามพื้นกิน เคยชินกับการกินของบูดเน่าที่เขาโยนทิ้งแล้ว ไก่ตายมีกลิ่นเหม็นและมีหนอนขึ้นก็ต้องเอามากิน และดื่มน้ำจากคูน้ำประทังชีวิต เครื่องแต่งตัวเท่าที่มีก็คือชุดไว้ทุกข์งานศพที่เขาบริจาคให้มา ใช้ชีวิตเร่ร่อนและใช้สุสานเป็นที่พักพิงถึง 10 ปี ซึ่งสุสานบางทีก็เต็มไปด้วยเศษกระดูกหรืออสรพิษ หรือบางครั้งก็ต้องนอนกลางทุ่งโล่งๆ ไม่เคยอาบน้ำเลยหลายปีโดยรู้จักแค่การใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเท่านั้น เพราะเมื่อท้องหิวก็ไม่ได้ใส่ใจกับความเหม็นหรือความสะอาดอีกต่อไป นานเข้าก็กลายเป็นชินกับกลิ่นอับ ที่สำคัญคือไม่มีสิทธิป่วย เพราะไม่มีเงินหาหมอ เขาต้องช่วยทำคลอดน้องๆเองแล้วในค่ำคืนหนึ่งน้องสาวคนหนึ่งก็ป่วยตายคาอ้อมอกของเขา เขาก็ต้องช่วยฝังเธอกับมือ เขาต้องคอยช่วยดูแลพ่อตาบอด และคอยเช็ดปัสสาวะอุจาระของแม่กับน้องชายพิการทางสมอง เขาคิดถึงน้องๆและทุกคนก่อนเสมอ อาหารที่หามาได้ยากยิ่งก็จะให้คนอื่นกินก่อน ส่วนตัวเองกับพี่สาวยอมกินแต่น้ำจากลำธาร ยังมียิ่งกว่านี้อีก เหล่านี้คือประสบการณ์ที่เกิดกับเด็กชายคนหนึ่งที่มีอายุในช่วง 4-6 ขวบเท่านั้น
พอเขาอายุสิบขวบผู้เป็นพ่อถึงได้ดิ้นรนส่งเขาเข้าโรงเรียน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียที่ไม่อาจลืมเลือน ในโรงเรียนเขาเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะนั้นนอกจากจะถูกดูถูกเหยียดหยามต่างๆนาๆแล้ว กลางคืนก็ยังต้องออกขอทานอีก มีเวลานอนแค่สามสี่ชั่วโมงเพราะต้องเดินขอทานหลายสิบกิโลเมตรทุกวันไม่มีวันหยุด ขอทานไปด้วยอ่านหนังสือทำการบ้านไปด้วย ถึงขนาดเดินหลับตกคลอง ตอนกลางวันก็นั่งกินข้าวคนเดียวตลอดเพราะอายที่ข้าวกลางวันมีแต่ข้าวเปล่า ขณะที่เพื่อนๆที่นั่งกินกันเป็นกลุ่มบ่นถึงรสชาตของอาหารที่ทางบ้านเตรียมให้ ตอนจะเข้าจะออกโรงเรียนเขาก็แทบจะไม่กล้ามองหน้าใครด้วยความอายเพราะความมอมแมมและความไม่มีของตัวเอง ไปชอบเด็กหญิงคนอื่นเขาก็ทิ้งไปเมื่อรู้ว่ามีพ่อเป็นขอทานมีแม่ปัญญาอ่อน


หนังสือเขียนเล่าแบบไม่ได้จงใจใช้พรรณาโวหารหรือใช้ภาษาให้เกิดอารมณ์คล้อยตาม เหมือนเล่าๆไปตามที่เขาประสบด้วยอารมณ์อันปรกติ ผมอ่านแล้วลองสมมุติว่าหนังสือมันอาจจะเขียนเกินจริงแล้วเอามาบวกลบคูณหารดู ลดดีกรีลงแล้วก็ยังอึ้งอยู่ดีว่าอะไรมันจะขนาดนั้น ครึ่งแรกจะเรียกน้ำตาได้แทบจะตลอดทีเดียว ขณะที่ครึ่งหลังจะเบาลงบ้าง

บางทีความเพียบพร้อมก็อาจจะทำให้คนกลายเป็นพวกชอบเรียกร้องสูงและเห็นแก่ตัวขณะที่ความไม่มีกลับทำให้คนเรารู้จักเผื่อแผ่ช่วยเหลือก็ได้


ใครคิดจะฆ่าตัวตาย ใครชีวิตรันทด อกหัก แฟนทิ้ง หน้าที่การงานไม่สมปรารถนาหนังสือเล่มนี่อาจช่วยเตือนสติว่ายังโชคดีกว่าคนอื่นอีกเยอะ


ref:http://michlsp.multiply.com/reviews/item/34
http://www.nanmeebooks.com/book/online_cat1_detail.php?bid=598&isbn=9906-82-9

11 comments:

  1. เห็นปกบนสุด แล้วนึกถึง "ลูกอีสาน" เลยค่ะ

    ยาวจัง แต่อยากอ่าน
    เดี๋ยวจะค่อย ๆ อ่านไปนะคะ

    ขอบคุณมากค่ะ ที่นำมาให้อ่าน

    ReplyDelete

  2. โฮ้ยยยยยยยยยยยยยย !!!
    ไปอ่านฟรีในร้านเขาตั้ง ๓ ชั่วโมง

    สวดยวดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    ReplyDelete

  3. ดีจังค่ะ
    ไว้ขอ share ไป Facebook นะคะ

    ReplyDelete

  4. สุดยอดคุณพ่อจริง ๆ
    อ่านแล้วอยากกราบ

    อ่านจบตอนที่ ๓ แล้ว
    พรุ่งนี้มาอ่านตอนที่ ๔ ต่อค่ะ

    ReplyDelete
  5. ขอบคุณครับ เป็นหนังสือที่ช่วยเตือนสติคนเราได้เป็นอย่างดีเลย

    ReplyDelete
  6. ได้เลยครับ

    ReplyDelete
  7. เคยอยู่นานกว่านี้ครับ
    แต่ร้านหนังสือในไทยที่ทำแบบนี้ได้ไม่ค่อยมีครับ
    ไว้ผมจะเขียนถึงร้านหนังสือที่ผมชอบสักหน่อย แต่ต้องไปหารูปเก่าๆก่อน

    ReplyDelete
  8. ไปค้นๆดู มีคนอ่านเยอะเหมือนกัน
    มีเอาไปบรรยายธรรม มีเอาไปออกเป็นเสียงในรายการวิทยุอะไรด้วยครับ

    ReplyDelete
  9. ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

    แต่ชอบแบบอ่านตัวหนังสือเองมากกว่า
    ฟังเขาอ่านออกเสียงมันช้า ไม่ทันใจค่ะ

    ไม่ค่อยมีสมาธิในการฟังด้วยค่ะ
    มีสมาธิกับการอ่านมากกว่า

    ReplyDelete